หน้าเว็บ

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2554

8 อาหารทำให้ "ง่วงนอนตลอดเวลา"






1. กาแฟ ดื่มกาแฟตอนเช้าโดยที่กระเพาะอาหารยังว่างเปล่าจะทำให้ง่วงได้ เพราะหลังจากดื่มกาแฟได้ 30 นาที
 กาเฟอีนจะเข้าไปในกระแสเลือดและไปที่สมองส่งผลให้ออกซิเจนที่ส่งไปยังสมองถูกสกัดกั้นแล้วความง่วงก็จะตามมา
 
2. กล้วย เป็นผลไม้ที่ให้พลังงานอย่างรวดเร็วช่วยสลายความเครียด ฮอร์โมนเซโรโทนินและนอร์เอพิเนฟรินจากกล้วย

จะช่วยให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุข แต่ถ้ารับประทานกล้วยมากเกินไปจะทำให้เราเกียจคร้าน
และไม่อยากขยับเคลื่อนไหวร่างกาย
   

3. ช็อกโกแลต สาร Phenylethylamine ในช็อกโกแลตจะทำให้ง่วงนอน ดังนั้น ช็อกโกแลตจึงเปรียบเสมือนยา

ที่ช่วยให้นอนหลับและถ้าหากมีโกโก้ในปริมาณสูงก็จะทำให้รู้สึกมีความสุข
    
4. ครัวซองต์ หากรับประทานครัวซองต์ 2-3 ชิ้นจะรู้สึกง่วงนอน เพราะครัวซองต์มีปริมาณแป้งขัดขาวมากและ

อุดมไปด้วยไขมันอีกด้วยซึ่งไขมันจำ เป็นต้องใช้พลังงานในการย่อย ดังนั้น เมื่อรับประทานครัวซองต์เข้า
ไปร่างกายก็จะดึงเลือดจากสมองไปที่กระเพาะเป็น จำนวนมากเมื่อสมองมีเลือดหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอก็จะทำให้ง่วงนอน
หากคุณต้องทำงานเร่งด่วนก็ควรรับประทานครัวซองต์ได้แค่ชิ้นเล็ก ๆ หนึ่งชิ้น   
                                                                                                                                                                                                                  
 5. ขนมปังขาวและข้าวขาว อาหารทุกชนิดที่ทำมาจากแป้งขัดขาวเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะทำให้ง่วง เหตุผลก็คือ
 มันเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดเร่งด่วนจึงทำให้ตับอ่อนต้องหลั่งอินซูลินออกมามาก จึงทำให้น้ำตาลในเลือดขึ้นสูง
และทำให้ง่วงนอน

6. ถั่วเปลือกแข็ง มีกากใยอาหารมากซึ่งจะไปชะงักกระบวนการย่อยอาหารและยังถูกส่งต่อไปยังลำไส้ใหญ่โดยไม่ได้ย่อย
และกระตุ้นแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ที่มีหน้าที่จัดการกับกากใยอาหาร ผลก็คือทำให้ท้องอืดเฟ้อและง่วงนอน
โดยเฉพาะถ้ารับประทานถั่วผสมเกลือก็จะทำลายวิตามินบางชนิด เช่น วิตามินบีซึ่งเป็นวิตามินที่ช่วย
ให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า

7. ของหวาน เช่น ขนมหวาน เค้ก คุกกี้ เครื่องดื่มหวาน ๆ น้ำตาล ทำให้ง่วงนอนและยังเป็นตัวแย่งวินามินบีไป
จากร่างกายเราด้วย เช่น วิตามินบี 1 บี 3 บี 6 และกรดโฟลิก และเมื่อร่างกายขาดแคลนวิตามินดังกล่าว
ก็จะทำให้เรี่ยวแรงถดถอยจึงส่งผลให้รู้สึกง่วง
    
 8. ผลิตภัณฑ์นมหรือโยเกิร์ต เป็นอาหารที่มีประโยชน์แต่ถ้ารับประทานโยเกิร์ตเข้าไปมากก็จะทำให้ร่างกาย
 ได้รับแคลเซียมและโปรตีน แต่ในขณะเดียวกันโปรตีนที่ว่านี้ก็จะแยกกรดอะมิโนจากร่างกายซึ่งจะส่งผลให้
 มีกรดมากเกินในร่างกายและทำให้ง่วงตลอดเวลา

วันจันทร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2554

learning log

สมอง แบ่งเป็น3 ส่วน
1.สมองส่วนหน้า ประกอบด้วย
olfactory bulb ช่วยในการดมกลิ่น
cerebrum บทบาท ความคิด ความจำ เชาวน์ปัญญา
hypothalamus ควบคุมการทำงานของร่างกาย กระหาย การหิว ความต้องการทางเพศ
thalamus ศูนย์รวมกระแสประสาทแล้วแยกไปยังสมอง 


2.สมองส่วนกลาง
obtic lobe เกี่ยวกับการมองเห็น


3. สมองส่วนหลัง
cerebellum  การเคลื่อนไหวและการทรงตัว
medulla oblongata การไอ การจาม
pons ควบคุมใบหน้า

วันอังคารที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2554

3สิ่งที่ต้องระวัง!

         1.  ชอบปฏิเสธ
             คือ บอกปัด ในภาษาไทยใช้คำว่า"ไม่"  เช่นไม่มี ไม่ทัน ไม่เอา  คนที่มีนิสัยชอบปฏิเสธมักจะเป็นคนบกพร่องในการครองใจคนอื่นโดยไม่รู้ตัว การพูดว่า ไม่ ทันที ในกรณีดังกล่าว เป็นการทำลายความหวังของอีกฝ่ายหนึ่ง
วิธี แก้ จงพยายามหลีกเลี่ยงการใช้คำปฏิเสธ ต่อความหวังของคนอื่นในทันทีให้มากที่สุด เช่น มีคนขอร้องว่า คุณขอฝากจดหมายไปราชบุรีหน่อย แทนที่จะพูดว่าไม่ได้ ควรที่จะพูดอย่างนี้ ขอโทษ ผมไม่ได้ไปราชบุรี จึงฝากไม่ได้
         2.  ทักทายทีหลัง
             เมื่อพบปะกับมิตร ผู้ทักทายก่อน ย่อมได้เปรียบในการครองใจ
                       ผู้ที่ครองใจได้ดีมี่ 2 ลักษณะ คือ
                             - หน้ายิ้ม
                             - ทักทายก่อน
        3.  คุ้ยข้อบกพร่องของเขา
             คนเราทุกคนจะต้องมีข้อบกพร่องอยู่ในตัวเสมอ เช่น เคยแพ้ เคยสอบตก เคยล้มเหลว ฯลฯ
เป็น จุดที่ไม่อยากพูดถึง แต่มีคนบางคนชอบสะกิดหรือคุ้ยเขี่ยข้อบกพร่องนั้นจะด้วยต้องการอวดความจำ หรืออวดรู้ อย่างไรก็ไม่ทราบ แล้วเวลาคุย ก็จะคุ้ยขึ้น
ทั้งนี้นำมาแสดงพอเป็นตัวอย่างให้เห็นว่า ข้อบกพร่องเล็กน้อยเช่นนี้ เป็นเครื่องบั่นทอนประสิทธิภาพ แห่งการครองใจคนอื่น โดยไม่รู้ตัว

วิธีการอ่านและวิเคราะห์จิตใจคน

          ในสังคมปัจจุบันไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานะภาพใดหรือประกอบอาชีพใด ต่างต้องมีการติดต่อสื่อสารพบปะพูดคุย เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือเพิ่มความสัมพันธ์กับผู้อื่นให้ดียิ่งขึ้น และหัวใจที่ทำให้เราประสบความสำเร็จทั้งในหน้าที่การงาน ,ในด้านครอบครัวเพื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ก็คือ " การรู้เท่าทันความคิดของผู้อื่น "
          การรู้เท่าทันผู้อื่น เพื่อเราจะได้ปรับพฤติกรรมของเราให้เข้ากับ พ่อ แม่ หรือสมาชิกในครอบครัว , เพื่อนร่วมงาน หรือหัวหน้างานได้อย่างถูกต้องเหมาะสมตามสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อป้องกันมิให้เกิดความขัดแย้ง
          ตามที่เคยนำเสนอ ศาสตร์ในการอ่านใจคน ด้วยหลักจริต 6 ซึ่งถือเป็นพื้นฐานที่จะทำให้เรารู้แนวโน้มพฤติกรรมของผู้อื่นอย่างกว้าง ๆ และเพื่อให้เราเข้าใจผู้อื่นอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น Dr.Dimitrius ซึ่งเป็นผู้ที่มีบทบาทในการคัดเลือกคณะลูกขุนเข้าร่วมพิจารณาคดีดัง ๆ มากมาย ในสหรัฐอเมริกา ได้เสนอหลักในการอ่านความคิด ,แรงจูงใจและพฤติกรรมของผู้อื่น ณ จุดเวลานั้น เช่น อ่านคนจากน้ำเสียง , จากวิธีการพูดจา เป็นต้น
          แต่การอ่านความคิดมนุษย์เป็นเรื่องที่ละเอียดสลับซับซ้อนเป็นอย่างมาก จึงจำเป็นต้องมีกรอบความคิดที่ชัดเจน เพื่อป้องกันความสับสน เพราะเบื้องหลังพฤติกรรมต่าง ๆ ที่มนุษย์แสดงออกมาย่อมเกิดจาก แรงกระตุ้น ที่ต่างกันไป
          ดังนั้น เพื่อง่ายต่อการปรับประยุกต์ใช้ Dr. Dimitrius จึงให้หลักเกณฑ์พื้นฐาน 4 ประการ ดังต่อไปนี้



[ดูภาพทั้งหมดในหมวด]

หลักเกณฑ์พื้นฐาน 4 ประการ
1. มองหารูปแบบของพฤติกรรมที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ
          พฤติกรรมซ้ำ ๆ หมายถึง รูปแบบการกระทำที่ใช้ตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอกหรือสถานการณ์เกิดขึ้นเป็น ประจำจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของนิสัย เช่น เป็นคนกระตือรือร้น หรือเฉื่อยชา , เป็นคนชอบท่องเที่ยวหรือชอบอยู่เฉย ๆ เป็นต้น
ดังนั้น เราไม่ควรสรุปผู้อื่นจาก 
          · พฤติกรรมในครั้งแรกที่รู้จักกัน ( First Impression )
          · พฤติกรรมในทาง Negative ที่นาน ๆ เกิดครั้งหนึ่ง

2. หาพฤติกรรมที่เป็นนิสัยของเขาจริง ๆ ( เกิดขึ้นตามธรรมชาติ )
          ตามหลักพื้นฐาน พฤติกรรมของมนุษย์สามารถ แยกได้ 2 ประเภท คือ
          1.) พฤติกรรมที่สร้างขึ้น อาจจะเพื่อบทบาทหน้าที่การงานในสังคม หรือ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้ตัวเอง เป็นต้น 
          2.) พฤติกรรมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ คือ พฤติกรรมที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลายเป็น " นิสัย " อาจมีสาเหตุจากการเลี้ยงดู หรือถูกหล่อหลอมจากสภาพสังคม เป็นต้น

          คำถาม : เราจะรู้ได้อย่างไรว่าพฤติกรรมที่คน ๆ นั้นแสดงเป็นของจริงหรือสร้างขึ้น ? 
          สังเกตจาก " ระดับความเข้มข้นของพฤติกรรมที่เบี่ยงเบน " ปกติคนเราอาจมีพฤติกรรมที่เบี ่ยงเบนไปบ้าง แต่จะไม่ต่างจากลักษณะนิสัยเดิม ๆ มากนัก แต่ถ้าเบี่ยงเบนแบบสุดกู่ แสดงว่าเป็นพฤติกรรมซ้ำ ๆ ที่ถูกสร้างขึ้น เมื่อแยกได้แล้ว ไม่ต้องสนใจพฤติกรรมที่สร้างขึ้น ให้คอยสังเกต " จุดเปลี่ยน " เพื่อที่เราจะได้เลือกพฤติกรรมที่จะแสดงออกได้อย่างเหมาะสม

3. ต้องสรุปให้ได้ว่าบุคคลผู้นั้น " คบได้ " หรือ " ไม่น่าคบ " 
          · ลักษณะของคนที่น่าคบ มีนิสัยที่จัดอยู่ในประเภท " คนเมตตาผู้อื่น " คือ ใจกว้าง, ยุติธรรม, ดูจริงใจ , พร้อมที่จะให้อภัยผู้อื่น เป็นต้น 
          · ลักษณะของคนที่ไม่น่าคบ หรือคบได้แต่ต้องระวัง คือ พวกที่ทำอะไรหวังผลประโยชน์เพื่อตัวเองฝ่ายเดียว , มีความอาฆาตต้องการลงโทษผู้อื่น เป็นต้น 
          ข้อสังเกต : คน ๆ หนึ่งจะเป็นได้เพียงหนึ่งลักษณะเท่านั้น คือ เมตตา หรือ ไม่เมตตา

4. มองหาจุดแตกต่าง
          ต้องแยกให้ออกว่า การกระทำหรือบุคลิกลักษณะภายนอกอะไรบ้างที่ขัดแย้งกับภาพรวมทั้งหมดของคน ๆ นั้น เพราะภายใต้ความแตกต่างนั้น ย่อมมีเหตุสำคัญบางประการ และถ้าเราค้นพบที่มาของความแตกต่างนั้นได้ จะทำให้เรารู้จักคน ๆ นั้นได้อย่างลึกซึ้งและถูกต้องตามความจริง

          สรุป : การที่เราจะอ่านความคิดผู้อื่นได้ถูกต้องตามสถานการณ์ หรือ ณ เวลานั้น ๆ เราจำเป็นต้องรู้ก่อนว่า อะไรคือพฤติกรรมซ้ำซากแท้จริงที่ถูกหล่อหลอมจน กลายเป็น " นิสัย " ของเขา เมื่อนั้นเราจึงจะสามารถอ่านความคิดของผู้อื่นได้


การอ่านคนจากน้ำเสียง
1. ระดับความดังของเสียง
1.1 คนเสียงดังผิดปกติ แต่มีรูปร่างเล็ก
· ชอบใช้อิทธิพล หรืออำนาจไปควบคุมผู้อื่น
· ขาดความอดทน
หรือ
· เป็นผู้ที่มีความมั่นใจสูง
1.2 เสียงเบา และมีโทนเสียงต่ำ
· เป็นผู้ที่มีความสงบภายใน
· มั่นใจในตัวเอง
ข้อสังเกต : จุดที่เกิดการเปลี่ยนแปลง
1. จากปกติพูดเสียงเบา >>> พูดเสียงดังผิดปกติ
· มีแนวโน้มว่าช่วงนั้นอาจตื่นเต้น
2. จากปกติพูดเสียงดัง >>> พูดเสียงเบาผิดปกติ
· มีแนวโน้มว่าอาจมีปัญหาในชีวิต มีความทุกข์ทางกายหรือทางใจ

2. จังหวะของเสียง
1.1 พูดเร็วมาก ๆ แบ่งได้ 2 ขั้ว
· เป็นคนใจร้อน , มุ่งมั่น หรือ
· Self-esteem ต่ำ จะพูดเร็วแต่ไม่ชัดถ้อยชัดคำ หรือพูดติดอ่างเพราะตั้งใจให้คนฟังไม่ทัน
1.2 พูดช้ามาก ๆ แบ่งตามรูปร่าง
· ถ้าเป็นผู้ที่มีรูปร่างไม่เล็ก : อาจป่วย หรือ เป็นคนที่ Negative มากจนเกิดอาการอ่อนเพลีย
· ถ้าเป็นผู้ที่มีรูปร่างสูงใหญ่ : ชอบดูถูกผู้อื่น คิดว่าตัวเองเก่งกว่า และมักมีสายตาเหยียดผู้ฟัง
ข้อสังเกต : จุดที่เกิดการเปลี่ยนแปลง
· จากปกติพูดช้า >>> พูดเร็ว : กำลังโกรธ หรือกำลังโกหก
· จากปกติพูดเร็ว >>> พูดช้า : กำลังคิดหาคำพูดที่จะสื่อความให้เราเข้าใจเร็วขึ้น

3. พูดจาติด ๆ ขัด ๆ
แนวโน้มลักษณะนิสัย แบ่งได้ 2 ขั้ว
· ไม่จริงใจ พยายามหาเหตุผลต่าง ๆ เพื่อพูดเข้าข้างตัวเอง
· จริงใจ สรรหาคำพูดเพื่อให้คนฟังเข้าใจ
ข้อสังเกต : ให้สังเกตจากร่างกาย
· ท่าทาง ไม่นิ่ง ขาแกว่งไปมา ไม่สงบ ตัวสั่น >>> ไม่จริงใจ
· ท่าทางสงบ สายตานิ่งสงบ >>> จริงใจ

4. น้ำเสียงที่มีการดัด หรือไม่เป็นธรรมชาติ
     แนวโน้มลักษณะนิสัย ต้องการแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ มีปัญญา ความสามารถสูงกว่าคนอื่น ๆ ซึ่งความจริงไม่ใช่

5. น้ำเสียงออดอ้อน แนวโน้มลักษณะนิสัย มี 2 ขั้ว
· เป็นผู้ที่น่าคบ ชอบเป็นผู้ตาม
· คนที่ชอบใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อให้ผู้อื่นทำตาม แต่ไม่อยากให้ผู้อื่นรู้ว่าถูกหลอกใช้





[ดูภาพทั้งหมดในหมวด]
อ่านคนจากลักษณะการพูดจา
1. วิธีการตอบคำถาม
· นิ่ง : ผู้ที่ถูกกล่าวหาแล้วนิ่งให้สงสัยไว้ก่อนว่า มีส่วนในความผิดนั้นจริง
· พูดยืดยาว : แสดงว่าจริง ๆ แล้วเขาไม่รู้เรื่องนั้น
2. พูดจาหยาบคาย หรือชอบสาบานตลอดเวลา
· เป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ หรือตื่นเต้นตกใจง่าย
· จิตใจโหดร้าย, ชอบข่มขู่ผู้อื่น
3. เปลี่ยนเรื่องพูด อาจมาจากสาเหตุ ดังนี้
· เบื่อเรื่องที่กำลังสนทนาอยู่
· ปกปิดความจริงเกี่ยวกับเรื่องนั้นจึงไม่อยากพูด
ข้อสังเกต : ความเกี่ยวโยงของเรื่องที่เปลี่ยน ถ้าไม่มีความเชื่อมโยงของเรื่องที่เปลี่ยนแสดงว่ากำลังปกปิดความจริง
4. คนที่เปิดเผยตัวมาก
· เขาสนในเราจึงยอมเปิดข้อมูลเยอะ หรือ
· อาจต้องการสร้างภาพ
5. คนที่ชอบพูดคำว่า ลุย
· เป็นคนค่อนข้างก้าวร้าว  

ตัวจุดฉนวน และความคิดอันเป็นทุกข์

ตัวจุดฉนวน และความคิดอันเป็นทุกข์

อาการ เจ็บหน้าอก หรือ หัวใจเต้นแรง คือ ถ้าเป็นโรคหัวใจล้มเหลวขึ้นมากะทันหันทำไงดี
อาการ สิ่งรอบกายดูเหมือนหลอกตา  คือ เราต้องกำลังเป็นโรคประสาทแน่ๆ
อาการ ดูตื่นตระหนก ตืนเต้น           คือ แล้วอย่างนี้คนอื่นจะต้องมองเราม่เก่งแน่เลย
อาการ ขาหมดแรง                      คือ เดี๋ยวเราต้องลมแน่เลย
อาการ อยู่ต่อหน้าฝูงชน                คือ คนทั้งหมดกำลังจองมองเราอยู่
อาการ รู้สึกร้อนใจ                       คือ ถ้าเกิดความเครียดนี้เพิ่มมากขึ้นทำให้เราเดือดร้อนจะทำอย่างไร
อาการ เหงื่อแตก                        คือ คนอื่นมองเห็นเรากังวลจะทำอย่างไร
อาการ ใจสั่น                             คือ คนอื่นมองว่าเราติดยา
อาการ ความคิดประหลาด              คือ ถ้าคนอื่นไม่ได้คิดอย่างเราเราต้องเป็นประสาทหรือบ้าแน่ๆที่คิดได้อย่างนี้

แก้ปัญหาด้วยการคิดแบบง่ายๆ

หากทุกข์ใจเป็นสาเหตุที่ทำให้ความกังวลแย่ลง แล้วคำตอบของปัญหาหละคืออะไร ทางออกก็คือ ทำทุกอย่างให้ง่ายเข้าไว้ก่อน คือ คิดอย่างเรียบง่ายและแก้ปัญหาดังที่มันเกิดขึ้นมา แม้จะดูเหมือนง่ายตอนพูดแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำไม่ได้ซะทีเดียว มาเริ่มคลายเครียดกันได้แล้วพยายามกันเข้านะ

การมีชีวิตด้วยจิตว่าง

การมีชีวิตด้วยจิตว่าง

จิตอิสระจากสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ในโลก จิตว่าง จิตฉลาด จิตคิดลึกได้รวดเร็ว สำหรับจะว่าง ไม่เป็นจิโง่ งุ่มง่าม เข้าไปหลงใหลยึดถือในสิ่งใด

หัวข้อ